บทที่ 21 แผนการ (๒)

อู๋ฮองเฮากลับถึงวังหลวงในยามบ่ายคล้อย หลังจากที่รับประทานอาหารร่วมกับเฉินหว่านอิ๋งที่ร้านอาหารแห่งนั้นแล้ว พระนางกลับรู้สึกถูกชะตาต่อสตรีสกุลเฉินมากกว่าเดิม แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ประทินโฉมเหมือนสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ แต่กลับมีความงดงามที่โดดเด่นเหนือผู้ใด ถึงขนาดคิดไปว่าหากให้เฉินหว่านอิ๋งมาอยู่ในวังเป็นเพื่อนก็คงจะดีไม่น้อย แต่สำหรับฮองเฮาที่ไม่สถานะอันชัดเจนในวังหลวงเช่นนาง คงไม่มีทางทำเช่นนั้นได้แน่ แค่แต่งงานเข้าวังหลวงมาไม่กี่วัน ฮ่องเต้ผู้เป็นพระสวามีก็หลบหนีการเข้าหอไปร่วมหลับนอนกับเกากุ้ยเฟยแทน

แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้นางรู้สึกอับอายมากก็ตาม แต่อู๋ตานเหม่ยกลับ

ไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะนางเติบโตมาในสภาพที่บิดามิได้ใส่ใจเท่าที่ควร ในสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ สตรีเช่นนางมีหน้าที่จำยอมต่อสามีคอยเป็นช้างเท้าหลังคอยรับใช้เขาเท่านั้น เรื่องนี้เสียนเฟยผู้เป็นพระมารดาก็สอนนางมาก่อนจะเดินทางมาแคว้นเยี่ยน

“ถวายพระพรพะย่ะค่ะฮองเฮา” น้ำเสียงเข้มที่อู๋ตานเหม่ยไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาตามสายลม นางหันหลังมามองหาที่มาของเสียงจึงพบเห็นบุรุษร่างสูงผู้หนึ่งกำลังเดินมาพร้อมกับทหารองครักษ์ที่ติดตามข้างกายเขา ทหารผู้นั้นเองก็ทำความเคารพนางเช่นกัน

“กระหม่อมหวังชินอ๋อง ขอถวายพระพรฮองเฮาพะย่ะค่ะ” หวังซานเย่กล่าวกับหวังฮองเฮาอย่างแสดงความเคารพ หลิงซีจึงกระซิบต่อฮองเฮาว่า

“ท่านผู้นี้คือหวังชินอ๋อง พระอนุชาต่างมารดาของฝ่าบาทเพคะ” เมื่อได้ยินหลิงซีกล่าวเช่นนั้น อู๋ตานเหม่ยพลันยิ้มอบอุ่นให้กับบุรุษตรงหน้า เขาช่างดูสุภาพและนอบน้อมยิ่งนัก แม้จะเป็นพี่น้องต่างมารดากับฮ่องเต้ผู้เป็นพระสวามี แต่กลับมีใบหน้าเสี้ยวหนึ่งที่ละม้ายคล้ายคลึงกันยิ่งนัก

“ขอบพระทัยเพคะชินอ๋อง” อู๋ตานเหม่ยกล่าวอย่างถ่อมตัวและรักษาระยะห่างพอสมควร เนื่องจากชินอ๋องผู้นี้มีพระพักตร์หล่อเหลาชวนพระทัยสั่นไหว สตรีที่อภิเษกมาแล้วอย่างพระนางไม่ควรยืนอยู่ใกล้พระอนุชาของสวามีนานนัก

“กระหม่อมแค่เพียงมาถวายพระพร ตอนนี้ต้องขอตัวก่อนพะย่ะค่ะ” หวังชินอ๋องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง เขาสังเกตสีพระพักตร์ของอู๋ฮองเฮาก็รู้แล้วว่านางไม่สะดวกใจที่จะยืนสนทนากับบุรุษอื่นตามลำพัง

โดยเฉพาะบุรุษที่มิใช่พระสวามีของนาง

หวังลู่ฮ่องเต้คิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องที่หวังซานเย่หมายใจขอให้ตนมอบสมรสพระราชทานระหว่างเขากับเกาอี้เหริน เนื่องจากเรื่องนี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายภาคหน้าได้ เพราะว่าเการั่วซีพี่สาวของเกาอี้เหรินนั้นเป็นพระสนมเอกของตน อีกทั้งบิดาของพวกนางทั้งสองอย่างเกาเจียฉี่ก็ดูจะมีหัวใจเอนเอียงไปทางหวังชินอ๋องไม่น้อย หากให้เกาอี้เหรินแต่งงานเข้าวังอ๋องของหวังซานเย่ เห็นทีคงจะไม่เป็นผลดีแน่

“ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยเรื่องสมรสพระราชทานอยู่หรือพะย่ะค่ะ” เฝิงกงกงซึ่งยืนอยู่ข้างกายกล่าวเสียงเรียบ หวังลู่ฮ่องเต้ที่หลับตาพิงพนักเก้าอี้ไม้อยู่ผงกศีรษะเบาๆ ก่อนตอบ

“อืม หวังชินอ๋องทำเช่นนี้ก็คงเพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันสามารถสั่นคลอนอำนาจของข้าได้” หวังลู่ฮ่องเต้ตอบ

เฝิงกงกงไม่อาจให้คำปรึกษาอะไรได้มากนัก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของราชวงศ์ พูดผิดแม้แต่คำเดียวมีสิทธิ์ถูกบั่นคอได้ทุกเมื่อ

หวังลู่ลืมตาตื่นขึ้นมามองเฝิงกงกง

“เฝิงกงกง เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี วาจาของฮ่องเต้หนักดุจติ่งเก้ากระถาง  หวังชินอ๋องก็มิใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก หากจะลดทอนอำนาจของเขาพวกขุนนางก็คงไม่พอใจ” หวังลู่ฮ่องเต้กล่าวพลางกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม

เฝิงกงกงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นมาว่า..

“ถ้ากระหม่อมเป็นพระองค์ กระหม่อมจะยอมให้มีการอภิเษกเกิดขึ้นพะย่ะค่ะ”

หวังลู่ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเข้มขึ้น ทรงไม่พอพระทัยกับคำตอบที่ได้ยินนัก “แต่คนที่หวังซานเย่จะแต่งงานคือเกาอี้เหริน เจ้าจะให้เขาแย่งอำนาจสกุลเกาไปรึ?!”

เฝิงกงกงยิ้ม “กระหม่อมมีวิธีพะย่ะค่ะ ขอแค่ฝ่าบาทเชื่อใจรับรองว่าวิธีนี้จะต้องได้ผล”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป